
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร คว้าตำแหน่งชนะเลิศระดับประเทศจากเวที Rakkaew – Enactus Thailand National Exposition 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6–7 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ โดยมีตัวแทนจาก 21 สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยพลังของนวัตกรรมและความคิดแบบผู้ประกอบการเพื่อสังคม
การแข่งขัน Rakkaew – Enactus Thailand National Exposition จัดขึ้นทุกปี โดย มูลนิธิรากแก้ว ร่วมกับ Enactus ประเทศไทย และผู้สนับสนุนโครงการจากภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงหากำไร ถือเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนพลังของเยาวชนรุ่นใหม่ทั่วประเทศ ผ่านการลงมือทำโครงการจริงที่บูรณาการความรู้จากหลากหลายศาสตร์ ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และธุรกิจ เพื่อสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิดผู้ประกอบการเพื่อสังคม นับเป็นเวทีสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มีทั้งความสามารถและจิตสำนึกสาธารณะเพื่อทำประโยชน์ให้สังคมต่อไป และเป็นการคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมเวทีระดับโลก Enactus World Cup 2025 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26–28 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีทีมตัวแทนระดับประเทศจากกว่า 35 ประเทศ ทั่วโลก ร่วมแสดงผลงานระดับนานาชาติอีกด้วย และนักศึกษาเข้าร่วมมากกว่า 2,000 คน
โครงการ “Cocoa Go Green” ของทีมจากจุฬาฯ เป็นโครงการพัฒนา ห่วงโซ่คุณค่าโกโก้ไทย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อรับมือกับวิกฤตขาดแคลนเมล็ดโกโก้ของโลก โดยใช้นวัตกรรมระบบคัดคุณภาพเมล็ดโกโก้ด้วยเทคโนโลยี Image Processing, IoT และการแปรรูปผลผลิตตกเกรดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Lick Block สารเสริมอาหารโคคาร์บอนต่ำ การสร้างผลิตภัณฑ์ชุมชน ได้แก่ สุราโกโก้ และมาส์กโกโก้ พร้อมการอบรมเกษตรกรในพื้นที่นำร่อง 5 จังหวัด ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ส่งผลให้ รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 15%, ลดขยะเปลือกโกโก้ 100% และ ลดต้นทุนอาหารโค 35% และสร้างผลิตภัณฑ์แปรรูปใหม่อย่างน้อย 2 ชนิด

สำหรับทีมที่เข้ารอบชิงชนะเลิศ 4 ทีมสุดท้าย ได้แก่
1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการCocoa Go Green
2. มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ทีมรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ด้วยโครงการ “สานศิลป์ ถิ่นภูมิปัญญา บุรีรัมย์กับโครงการ “สานศิลป์ ถิ่นภูมิปัญญา บุรีรัมย์” โครงการที่ปลุกพลังภูมิปัญญาท้องถิ่นให้มีชีวิตใหม่ โดยเชื่อมโยงงานผ้าไหมและจักสานไม้ไผ่กับนวัตกรรม สร้างผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย ขยายช่องทางการตลาด และส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในชุมชนกว่า 30 แห่ง ทั่วบุรีรัมย์ ไม่เพียงแค่สืบสานงานศิลป์ แต่ยังพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยลดการใช้น้ำและพลังงาน พัฒนาเครือข่ายเยาวชน มัคคุเทศก์น้อย และสร้างระบบการจัดการโดยชุมชนเองอย่างยั่งยืน โดยใช้แนวคิด PKRDS และ BMC เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ วางแผนธุรกิจ และสร้างการเติบโตที่แท้จริง โครงการนี้ช่วยเพิ่มรายได้ผู้ผลิตเฉลี่ย 63% สร้างงานให้ครัวเรือนกว่า 3,000 ราย และส่งผลกระทบเชิงบวกตลอดห่วงโซ่มากกว่า 5,200 คน พร้อมปลุกพลังเยาวชนจิตอาสากว่า 60 คน ร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรม “ผ้าไหมย้อมเย็น” และ “จักสานร่วมสมัย” สู่ตลาดทั้งใน และต่างประเทศ
3. มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จากโครงการ “Agro-Power พลังเกษตรเปลี่ยนขยะเศษอาหารเป็นทุนชีวิต” โครงการนี้ใช้นวัตกรรมหนอนแมลงวันลาย (BSF) แปรรูปขยะอาหารและของเสียทางการเกษตรกว่า 14 ตัน ให้เป็นโปรตีน อาหารสัตว์ และปุ๋ยอินทรีย์ ช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ได้กว่า 60,000 บาทต่อปี เพิ่มรายได้ และลดปริมาณขยะในชุมชน ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่คนกว่า 650 คน พร้อมขยายผลสู่โรงเรียน โรงพยาบาล และชุมชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ



4. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จาก “โครงการฟังใจ เห็ดเยื่อไผ่ เพื่อชุมชนที่ยั่งยืน” ทีมพัฒนาธุรกิจเห็ดเยื่อไผ่ของชุมชนผ่านกระบวนการ Social Innovation และการจัดการความรู้ (KM) ร่วมวิเคราะห์ปัญหา พัฒนาทักษะการตลาดและการใช้นวัตกรรม AI เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ชุมชน 3 แห่งรวมตัวกันสร้างธุรกิจร่วมกัน เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผ่าน อย. ช่วยเพิ่มรายได้ ลดการว่างงาน และเป็นต้นแบบให้ชุมชนอื่นพัฒนาอย่างยั่งยืน
ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ประธานกรรมการ มูลนิธิรากแก้ว กล่าวว่า “การแข่งขันปีนี้น่าชื่นใจอย่างยิ่ง นิสิตนักศึกษาทุกมหาวิทยาลัยนำเสนอโครงการที่มีคุณภาพและตั้งอยู่บนฐานของความต้องการจริงของชุมชน ไม่ใช่เพียงแค่แผนธุรกิจในอากาศ แต่เป็นผลงานที่เกิดขึ้นจริง มีผลลัพธ์ชัดเจน และสามารถวัดได้อย่างเป็นระบบ ทุกโครงการสะท้อนถึงพลังของเยาวชน ที่นำองค์ความรู้จากหลากหลายศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับปัญหาจริงของชุมชนได้อย่างลึกซึ้งและยั่งยืน โดยใช้พลังของธุรกิจ และความเป็นผู้นำเชิงผู้ประกอบการ เราภูมิใจที่ได้เห็นทีมจากจุฬาฯ เป็นตัวแทนประเทศไทย เพื่อแสดงศักยภาพเยาวชนไทยในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในเวทีระดับโลก”
งานนี้สะท้อนให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ของไทย ไม่เพียงเก่งในเชิงวิชาการ แต่ยังมีจิตสาธารณะ มีความคิดสร้างสรรค์ และศักยภาพในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างแท้จริง และจะเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีมีคุณภาพของประเทศไทยและของโลกต่อไป
